วิธีเช็กสุขภาพ "ปอด" เบื้องต้น ทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน พร้อมสังเกตสัญญาณเตือนภัยที่ต้องพบแพทย์
ปอด อวัยวะสำคัญที่ทำงานหนักตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายและขับคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป การมีปอดที่แข็งแรงจึงเป็นพื้นฐานของสุขภาพที่ดี แต่ในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยมลภาวะ ฝุ่น PM2.5 และเชื้อโรคต่างๆ ทำให้ปอดของเรามีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติได้ง่ายขึ้น
การหมั่นสังเกตและตรวจสอบสมรรถภาพปอดเบื้องต้นด้วยตนเองจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม บทความนี้จะพาทุกท่านไปสำรวจวิธีการเช็กสุขภาพปอดง่ายๆ ที่สามารถทำได้เองที่บ้าน พร้อมทั้งสังเกตสัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจอย่างละเอียด
สัญญาณเตือนที่ต้องฟัง ปอดของคุณอาจกำลังมีปัญหา
ก่อนที่จะไปถึงวิธีทดสอบ ลองสังเกตอาการของตัวเองในชีวิตประจำวัน หากมีอาการเหล่านี้ อาจเป็นสัญญาณว่าสุขภาพปอดของคุณเริ่มถดถอย
- เหนื่อยง่ายผิดปกติ: ทำกิจกรรมเดิมๆ แต่กลับรู้สึกเหนื่อยหอบกว่าเคย เช่น การเดินขึ้นบันไดเพียงไม่กี่ขั้น
- ไอเรื้อรัง: มีอาการไอต่อเนื่องนานกว่า 3-4 สัปดาห์ อาจเป็นไอแห้งๆ หรือไอแบบมีเสมหะ
- หายใจลำบาก หายใจสั้น: รู้สึกหายใจได้ไม่เต็มปอด หรือหายใจเข้า-ออกสั้นกว่าปกติ
- เจ็บหน้าอก: มีอาการเจ็บแปลบหรือแน่นบริเวณหน้าอก โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึกๆ หรือไอ
- หายใจมีเสียงหวีด: ได้ยินเสียงวี๊ดๆ ขณะหายใจ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของหลอดลมตีบ
- ไอเป็นเลือด: เป็นสัญญาณอันตรายที่ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
หากคุณมีอาการเหล่านี้ข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อรวมกัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริง
วิธีทดสอบสมรรถภาพปอดเบื้องต้น ทำได้เองที่บ้าน
การทดสอบเหล่านี้เป็นเพียงการประเมินเบื้องต้นเพื่อสังเกตความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ไม่สามารถใช้วินิจฉัยโรคได้ แต่สามารถช่วยให้คุณตระหนักถึงสุขภาพปอดของตนเองได้ดียิ่งขึ้น
1. สังเกตและนับอัตราการหายใจ
วิธีที่ง่ายที่สุดคือการสังเกตการหายใจของตนเองในขณะพัก ลองจับเวลา 1 นาที แล้วนับจำนวนครั้งที่หายใจเข้า-ออก (หายใจเข้าและออกนับเป็น 1 ครั้ง)
อัตราการหายใจปกติของผู้ใหญ่: ควรอยู่ที่ประมาณ 12-20 ครั้งต่อนาที ข้อสังเกต: หากหายใจเร็วกว่าปกติอย่างสม่ำเสมอ หรือหายใจช้าเกินไป อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติได้ นอกจากนี้ควรสังเกตจังหวะการหายใจว่าสม่ำเสมอหรือไม่
2. ตรวจวัดค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือด
ปัจจุบันเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว (Pulse Oximeter) สามารถหาซื้อได้ทั่วไปและใช้งานง่าย เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยประเมินการทำงานของปอดในการแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้เป็นอย่างดี
สุขภาพปอดที่ดีคือลมหายใจที่ยืนยาว การใส่ใจและหมั่นตรวจสอบร่างกายตนเองอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณรู้เท่าทันความผิดปกติและรับมือได้อย่างทันท่วงที
สรุป
- หลีกเลี่ยงมลภาวะ: งดสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงการได้รับควันบุหรี่มือสอง สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่ในบริเวณที่มีฝุ่น PM2.5 หนาแน่น
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ หรือแอโรบิก จะช่วยให้หัวใจและปอดทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ปอดสามารถแลกเปลี่ยนออกซิเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ฝึกการหายใจ: ลองฝึกหายใจเข้าลึกๆ ทางจมูกให้ท้องป่อง และค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกทางปากช้าๆ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อที่ใช้ในการหายใจและเพิ่มความจุปอด
- รับประทานอาหารบำรุงปอด: เน้นผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ส้ม แอปเปิ้ล บรอกโคลี และสมุนไพรอย่างขิง ซึ่งมีส่วนช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
- รักษาสุขอนามัย: หมั่นล้างมือให้สะอาดและหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดเพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ
นอกจากการหมั่นตรวจสอบแล้ว การดูแลปอดให้แข็งแรงในระยะยาวก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณสามารถทำได้ทุกวัน
เคล็ดลับบำรุงปอดให้แข็งแรงอยู่เสมอ
การตรวจด้วยวิธีนี้จะให้ผลที่แม่นยำกว่า โดยแพทย์จะให้คุณหายใจเข้า-ออกผ่านเครื่องมือเพื่อวัดปริมาตรความจุปอด และอัตราการไหลของอากาศ ซึ่งสามารถช่วยวินิจฉัยโรคต่างๆ เช่น โรคหอบหืด และโรคถุงลมโป่งพองได้
หากการทดสอบเบื้องต้นพบความผิดปกติ หรือคุณมีอาการน่าสงสัยดังที่กล่าวมาข้างต้น หรือเป็นกลุ่มเสี่ยง เช่น สูบบุหรี่จัด ทำงานในที่มีมลภาวะสูง มีประวัติครอบครัวเป็นโรคปอด ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจสมรรถภาพปอดอย่างละเอียดด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่เรียกว่า สไปโรเมตรีย์ (Spirometry)
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสมรรถภาพปอด?
ข้อควรระวัง: ไม่ควรทำอย่างหักโหม หากรู้สึกหน้ามืดหรือเวียนศีรษะให้หยุดทันที ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับหัวใจหรือความดันโลหิตควรหลีกเลี่ยงวิธีนี้
วิธีทำ: หายใจเข้าให้เต็มปอดแล้วกลั้นหายใจ พร้อมจับเวลา การประเมินผล: 30 วินาทีขึ้นไป: บ่งบอกว่าสมรรถภาพปอดค่อนข้างดี น้อยกว่า 20 วินาที: อาจเป็นสัญญาณว่าสมรรถภาพปอดเริ่มลดลง
การทดสอบนี้ช่วยประเมินความจุปอดและความสามารถในการทนต่อภาวะขาดออกซิเจนได้ในระดับหนึ่ง
3. ทดสอบการกลั้นหายใจ (ทำด้วยความระมัดระวัง)
ค่าปกติ: ควรอยู่ที่ 95% ขึ้นไป ข้อควรระวัง: หากวัดค่าได้ต่ำกว่า 94% อย่างต่อเนื่อง ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ
ขอขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล
แหล่งที่มาฐานข้อมูลออนไลน์ : Sanook.com
ข่าวยอดนิยม




