ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A กับ B ต่างกันยังไง? สายพันธุ์ไหนอันตรายมากกว่า

เปรียบเทียบความแตกต่างหลักระหว่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B
ความแตกต่างดังกล่าวส่งผลต่อระดับความรุนแรง การกลายพันธุ์ และศักยภาพในการก่อโรคระบาดใหญ่ทั่วโลก ดังนั้นการทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ B จึงมีความสำคัญในการเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับวัคซีนป้องกัน
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) เป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากไวรัส ซึ่งสายพันธุ์หลักที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์คือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A และ สายพันธุ์ B แม้ว่าจะมีอาการที่คล้ายคลึงกัน แต่ความแตกต่างทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการระบาดของทั้งสองสายพันธุ์นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง
วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลที่ใช้ในปัจจุบันจึงเป็นแบบ 3 หรือ 4 สายพันธุ์ (Trivalent/Quadrivalent) ซึ่งจะครอบคลุมไวรัสหลัก ๆ ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ชนิด H1N1, ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ชนิด H3N2, และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ B (อย่างน้อย 1-2 สายตระกูล)
เนื่องจากไข้หวัดใหญ่ทั้งสายพันธุ์ A และ B มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอาการรุนแรงในกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว การฉีดวัคซีนจึงเป็นมาตรการสำคัญที่สุดในการป้องกัน เนื่องจากไวรัสไข้หวัดใหญ่มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A ที่กลายพันธุ์ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ความรุนแรงของเชื้อเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปี
ความสำคัญของวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
- อาการมักค่อย ๆ ปรากฏ ไม่รุนแรงทันทีเหมือนสายพันธุ์ A
- มีไข้ในระดับปานกลาง
- อาจมีอาการน้ำตาไหล หรือตาแดงร่วมด้วยได้
อาการของสายพันธุ์ A
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A มีความรุนแรงและมีศักยภาพในการกลายพันธุ์ รวมถึงการระบาดใหญ่ได้มากกว่าสายพันธุ์ B แต่ทั้งสองสายพันธุ์ก็ยังเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ดังนั้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำทุกปีจึงเป็นมาตรการที่ดีที่สุดในการลดความเสี่ยงของการป่วยหนัก การแพร่ระบาด และการเสียชีวิตจากเชื้อไข้หวัดใหญ่ทั้งสองสายพันธุ์
อาการของสายพันธุ์ B
- มักมีอาการไข้สูงขึ้นอย่างรุนแรงและเฉียบพลันกว่า
- ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อทั่วร่างกายมาก
- มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดอักเสบ หรือหลอดลมอักเสบ ได้สูงกว่า
ขอบคุณแหล่งที่มา https://www.sanook.com/health/38025/
ข่าวยอดนิยม